JAPAN
ทำไมคนญี่ปุ่นถึงมีคำพูดก่อนและหลังกินข้าว
สวัสดีครับ สำหรับหลายๆท่านที่รู้จักญี่ปุ่น เคยสงสัยไหมว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงมีคำพูดที่พูดก่อน (いただきます (Itadakimasu)) และหลังการกินอาหาร (ごちそうさまでした (Gochisōsama deshita)) คำพูดเหล่านี้มีความหมายและสะท้อนอะไรในสังคมการใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่น ในวันนี้ผมจะขออนุญาตพาทุกท่านไปหาคำตอบกันครับ

ความหมายลึกซึ้งของคำว่า “いただきます (Itadakimasu)” และ “ごちそうさまでした (Gochisōsama deshita)”
หากท่านไหนเคยใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นหรือได้สัมผัสกับคนญี่ปุ่น คงอาจจะคุ้นหูกับคำพูด 2 คำนี้ก่อนและหลังกินอาหารอย่าง “いただきます (itadakimasu)” ที่จะพูดก่อนเริ่มกินอาหารและ “ごちそうさまでした (gochisōsama deshita)” ที่พูดหลังจากกินอาหารเสร็จ ต้องบอกว่าคำพูดง่ายๆสั้นๆ 2 คำนี้ไม่ได้เป็นเพียง “มารยาทบนโต๊ะอาหาร” เท่านั้นนะครับ แต่ที่จริงแล้วมันสะท้อนถึงแนวคิดทางวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่น ที่แฝงไปด้วยความเคารพและความสำนึกในบุญคุณต่ออาหาร ผู้คน และธรรมชาติที่มอบชีวิตให้พวกเขาได้ดำรงอยู่ต่อไปได้นั่นเองครับ
1. “いただきます” : ไม่ใช่แค่ “จะกินแล้วนะ”
มาเริ่มกันที่คำว่า “いただきます” (itadakimasu) มาจากคำกริยาคำว่า “いただく (itadaku)” ที่มีความหมายแบบสุภาพว่า “รับ” หรือ “ได้รับ” ครับ โดยในอดีตคำนี้ใช้ในความหมายเชิงแสดงถึงการ “รับสิ่งมีค่าจากผู้อื่นด้วยความเคารพ” ดังนั้นเมื่อคนญี่ปุ่นพูดว่า “いただきます” ก่อนกินข้าว พวกเขาไม่ได้เพียงแค่บอกว่ากำลังจะเริ่มกิน แต่กำลังแสดงความขอบคุณต่อทุกสิ่งที่ทำให้อาหารมื้อนี้เกิดขึ้นนั่นเองครับ ได้แก่ เกษตรกรและชาวประมงที่เพาะปลูกและหาวัตถุดิบมา พ่อครัวแม่ครัวที่ลงแรงปรุงอาหารให้ ครอบครัวหรือผู้ที่จัดเตรียมอาหารที่ทำให้ได้มื้ออาหารตรงหน้านี้มา และที่สำคัญที่สุดคือชีวิตของพืชและสัตว์ที่ต้องเสียสละเพื่อให้มนุษย์ดำรงอยู่ต่อไปได้ ดังนั้นคำว่า “いただきます” จึงมีความหมายที่ค่อนข้างลึกซึ้งว่า “ข้าพเจ้าขอรับอาหารนี้ด้วยความเคารพและสำนึกในบุญคุณต่อชีวิตทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง” นั่นเองครับ
2. “ごちそうさまでした” : การขอบคุณหลังมื้ออาหาร
และหลังจากกินเสร็จแล้ว คนญี่ปุ่นก็จะพูดว่า “ごちそうさまでした (gochisōsama deshita)” โดยที่คำว่า “ごちそう (gochisō)” เดิมทีแล้วจะมีความหมายว่า “การวิ่งไปมาเพื่อจัดหาอาหารดีๆให้แขก” ดังนั้นคำนี้จึงมีนัยถึง “ความพยายาม ความใส่ใจ และน้ำใจของผู้ที่จัดเตรียมอาหาร” โดยเติมคำว่า “さま” (sama) เพื่อแสดงความเคารพ และ “でした” เพื่อแสดงว่าเป็นอดีตกาล จึงกลายเป็นคำที่จะสื่อว่า “ขอบคุณสำหรับอาหารอันแสนอร่อยที่ท่านได้จัดเตรียมไว้ให้” แต่ในความหมายเชิงที่ลึกกว่านั้น คำว่า “ごちそうさまでした” ยังเป็นการแสดงความขอบคุณต่อทุกแรงกายแรงใจที่เกี่ยวข้องกับอาหารนั้นๆ ตั้งแต่ผู้ผลิตจนถึงธรรมชาติที่ทำให้เกิดผลผลิตขึ้นมานั่นเองครับ

3. ทำไมคำสองคำนี้ถึงสำคัญในสังคมญี่ปุ่น
ต้องบอกว่าในวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั้น จะมีแนวคิดที่เรียกว่า “命(いのち)inochi ที่แปลว่า “ชีวิต”” ซึ่งจะมองว่าอาหารทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นข้าว ผัก ปลา หรือเนื้อสัตว์ ต่างก็มี “ชีวิต” ทั้งหมด เมื่อเรานำสิ่งนั้นมากินก็เท่ากับเรากำลัง “รับชีวิตหนึ่งเข้ามาหล่อเลี้ยงชีวิตของเรา” ดังนั้นนั้นการพูด “いただきます” และ “ごちそうさまでした” จึงเป็นพิธีกรรมเล็กๆที่สะท้อนจิตสำนึกในการเคารพชีวิตผู้อื่น โดยไม่ใช่เพียงเพราะเป็นไปตามมารยาท แต่เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนระหว่าง “คนและธรรมชาติ” โดยแนวคิดนี้มีรากฐานมาจากทั้งศาสนาชินโต (神道) และพุทธศาสนา (仏教) นั่นเองครับ
– ศาสนาชินโตสอนให้เคารพธรรมชาติ เพราะเชื่อว่าทุกสิ่งมีวิญญาณ (神 (kami))
– ส่วนพุทธศาสนาสอนให้สำนึกในบุญคุณและเคารพชีวิตอื่น
เมื่อนำสองแนวคิดนี้มาหลอมรวมกันในวัฒนธรรมญี่ปุ่น จึงกลายเป็นธรรมเนียมที่ยังคงสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันนั่นเองครับ
4. การสอนในครอบครัวและโรงเรียนญี่ปุ่น
ตั้งแต่เด็ก คนญี่ปุ่นจะถูกสอนให้พูดทั้งสองคำนี้ทุกมื้อ โรงเรียนประถมและอนุบาลมักมีช่วง “เวลาอาหารกลางวัน” ที่ครูจะพูดนำว่า “みなさん、いただきます!” (ทุกคนครับ/ค่ะ พูดว่า Itadakimasu กันเถอะ!) จากนั้นเมื่อกินเสร็จ ทุกคนจะพูดพร้อมกันว่า “ごちそうさまでした!” โดยสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่กิจวัตรที่จะต้องทำทุกวัน แต่เป็นการปลูกฝังให้เด็กๆเรียนรู้เรื่องความเคารพ ความกตัญญู และความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนบริโภค ถือเป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่เน้น “การอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน” นั่นเองครับ
5. เปรียบเทียบกับวัฒนธรรมอื่นๆ
ในหลายประเทศก็มักมีคำพูดก่อนกินอาหาร เช่น
– “Bless this food” ในวัฒนธรรมตะวันตก
– “ขอบคุณสำหรับอาหาร” ในภาษาไทย
แต่สิ่งที่แตกต่างคือคนญี่ปุ่นมักพูดคำเหล่านี้ทุกมื้อแม้ว่าจะกินคนเดียวก็ตาม นั่นเพราะจิตสำนึกเรื่อง “ความสัมพันธ์” (縁 (en)) ในวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั้นค่อนข้างที่เข้มแข็งมาก ไม่ว่าคนญี่ปุ่นคนนั้นจะอยู่คนเดียวหรืออยู่กับใคร คนญี่ปุ่นคนนั้นก็ยังอยู่ในสายใยของผู้คนและสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่ทำให้คนญี่ปุ่นคนนั้นมีอาหารตรงหน้านั่นเองครับ

เห็นไหมครับว่าคำว่า “いただきます” และ “ごちそうさまでした” หากมองเผินๆแล้วอาจจะดูเหมือนคำธรรมดาๆ แต่จริงๆแล้วแฝงไปด้วยความหมายถึงการความถ่อมตนและความสำนึกในคุณค่าของชีวิต ในสังคมของญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ การหยุดพูดคำสองคำนี้ก่อนและหลังกินอาหาร มันคือการเตือนใจให้คนญี่ปุ่นย้อนกลับมามองสิ่งรอบตัว ว่าทุกคำที่คนญี่ปุ่นกินนั้น มีชีวิตมากมายที่เกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นหากทุกท่านมีโอกาสที่ได้กินอาหารญี่ปุ่น ให้ลองพูดคำว่า “いただきます” ก่อนกิน และ “ごちそうさまでした” หลังกินเสร็จดูสิครับ ไม่ใช่เพียงเพราะอยาก “ทำเหมือนคนญี่ปุ่น” แต่เป็นการสัมผัสหัวใจของวัฒนธรรมญี่ปุ่น ที่สอนให้เราขอบคุณต่อทุกสิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ในวันนี้นั่นเองครับ
🩷🩷🩷🩷🩷🩷🩷🩷🩷🩷🩷🩷🩷🩷🩷🩷🩷🩷

Internet SIM โดยจะมีระยะเวลา 4 วัน 7 วัน 10 วันและ 15 วันครับ ทุกท่านสามารถใช้งานได้แบบอุ่นใจไม่ต้องกลัว internet หมดเพราะตัว SIM เป็นแบบไม่จำกัดปริมาณ (Unlimited) ครับ โดยตัว SIM รองรับทั้ง iOS และ Android ไม่ว่าลูกค้าจะใช้งานโทรศัพท์รุ่นอะไรที่ใช้ระบบปฏิบัติการดังกล่าวก็จะสามารถใช้งาน SIM นี้ได้อย่างไม่มีปัญหาครับ
หากสนใจสามารถคลิกที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ






