
JAPAN
ประวัติ วัฒนธรรม และความลับแห่งรสชาติของเหล้าญี่ปุ่น
ศิลปะแห่งการหมักข้าวที่สะท้อนจิตวิญญาณของชนชาติญี่ปุ่น
เหล้าญี่ปุ่น หรือที่รู้จักในชื่อว่า “สาเก” (日本酒 / Nihonshu) เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมญี่ปุ่นมากว่าพันปี เกิดจากภูมิปัญญาการหมักข้าวและน้ำธรรมชาติที่บริสุทธิ์ จนกลายเป็นศิลปะการผลิตอันละเอียดอ่อนที่สะท้อนจิตวิญญาณของชนชาติที่ให้ความเคารพต่อธรรมชาติและความประณีตในทุกรายละเอียด และพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากเครื่องดื่มในพิธีกรรม สู่สินค้าเศรษฐกิจ และท้ายที่สุดคือเครื่องดื่มระดับโลกที่โดดเด่นด้วยรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์
สาเกคืออะไร
“สาเก (Sake / 日本酒)” คือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผลิตจากการหมักข้าวและน้ำ โดยใช้เชื้อราโคจิในการย่อยแป้งเป็นน้ำตาล แล้วให้ยีสต์เปลี่ยนน้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์
ต่างจากไวน์หรือเบียร์ตรงที่ “การย่อยแป้งและการหมักเกิดขึ้นพร้อมกัน” (เรียกว่า Multiple Parallel Fermentation) ทำให้สาเกมีความซับซ้อนและรสชาติละเมียดละไม
จุดกำเนิดของเหล้าญี่ปุ่น
จุดกำเนิดของสาเกย้อนกลับไปในช่วง ยุคโจกง (縄文時代) และ ยุคยะโยอิ (弥生時代) (ประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 300) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนญี่ปุ่นเริ่มรู้จักการเพาะปลูกข้าว
ในสมัยนั้น ข้าวถือเป็นธัญพืชศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในพิธีกรรมบูชาธรรมชาติ โดยการทำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดแรกที่ทำจากข้าวในยุคนั้นเรียกว่า “คุจิคามิซาเกะ” (口噛み酒) หรือ “เหล้าที่เคี้ยวด้วยปาก” วิธีการผลิตคือหญิงสาวจะเคี้ยวข้าวและบ้วนน้ำข้าวลงในภาชนะเพื่อให้เอนไซม์ในน้ำลายย่อยแป้งให้กลายเป็นน้ำตาล ก่อนจะปล่อยให้หมักตามธรรมชาติจนเกิดแอลกอฮอล์อ่อน ๆ แม้วิธีนี้จะดูดิบแบบพื้นบ้าน แต่ก็ถือเป็นภูมิปัญญาแรกเริ่มที่สร้างเครื่องดื่มแห่งศรัทธาที่เชื่อมโยงมนุษย์กับเทพเจ้า
สาเกในยุคโบราณและราชสำนัก
เข้าสู่ยุค นาระ (ค.ศ. 710–794) ญี่ปุ่นเริ่มรับอิทธิพลจากจีน ทั้งด้านเทคนิคการหมักและการบริหารราชการ มีการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐที่ดูแลการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะ เรียกว่า “ซาเคะโนะสึคาสะ” (酒造司) ซึ่งถือเป็นโรงผลิตสาเกแห่งแรกอย่างเป็นทางการ
ในสมัย เฮอัน (ค.ศ. 794–1185) สาเกกลายเป็นเครื่องดื่มประจำราชสำนักและศาสนา ใช้ในพิธีสำคัญต่าง ๆ ของลัทธิ ชินโต (神道) เพื่อถวายแก่เทพเจ้า เรียกว่า “มิกิ” (御神酒) หรือ “เหล้าแห่งเทพเจ้า” เชื่อว่าการดื่มมิกิเป็นการชำระล้างจิตใจและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทพ
นอกจากนี้ ในราชสำนักยังมีการพัฒนาเทคนิคการหมัก การกรอง และการเก็บรักษา ทำให้สาเกในยุคนี้เริ่มมีรสชาติซับซ้อนและละเอียดอ่อนมากขึ้น
ยุควัดและศาลเจ้า – แหล่งผลิตสาเกแห่งแรกของญี่ปุ่น
ในสมัย คามาคุระ (ค.ศ. 1185–1333) และ มุโรมาจิ (ค.ศ. 1336–1573) วัดและศาลเจ้าหลายแห่งเริ่มผลิตสาเกเอง เพื่อใช้ในพิธีกรรมและแจกจ่ายให้ผู้มาร่วมงานทางศาสนา
พระสงฆ์ในยุคนี้มีความรู้ด้านการหมักและการควบคุมความสะอาด ทำให้สาเกจากวัดมีคุณภาพสูง และกลายเป็นต้นแบบของโรงสาเกเชิงพาณิชย์ในเวลาต่อมา
ตัวอย่างเช่น วัดในจังหวัดนารา เช่น วัดโชริวจิ (正暦寺) ถูกบันทึกว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ผลิตสาเกที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นต้นแบบของสาเกสมัยใหม่ในเวลาต่อมา
ใน ยุคมุโรมาจิ ได้มีการบันทึกเทคนิคการทำสาเกอย่างเป็นระบบ เช่น การใช้ โมโตะ (酛) หรือยีสต์เริ่มต้น เพื่อควบคุมการหมักให้คงที่ และเริ่มมีการก่อตั้งกลุ่ม “โทจิ” (杜氏) หรือช่างหมักสาเกมืออาชีพที่สืบทอดเทคนิคอันซับซ้อนจากรุ่นสู่รุ่น
ยุคเอโดะ – ยุคทองของสาเก
สมัย เอโดะ (ค.ศ. 1603–1868) ถือเป็นยุคทองของสาเกอย่างแท้จริง เพราะประเทศอยู่ในภาวะสงบยาวนาน เศรษฐกิจเติบโต และเมืองใหญ่เริ่มขยายตัว
มีการพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ เช่น
การใช้เชื้อราโคจิ (麹): เพื่อช่วยย่อยแป้งข้าวเป็นน้ำตาลอย่างมีประสิทธิภาพ
การหมักหลายขั้นตอน (Multiple Parallel Fermentation): เป็นเทคนิคเฉพาะของสาเกที่ทำให้การย่อยแป้งและการเปลี่ยนน้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์เกิดขึ้นพร้อมกัน ส่งผลให้ได้สาเกที่มีความซับซ้อนและรสชาติที่ลุ่มลึก
การกรองและปรับรสให้ใสและหอมมากขึ้น
เมือง อิตามิ (伊丹) และ นารา (奈良) กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตสาเกคุณภาพสูง ซึ่งเรียกว่า “เซโชชู” (清酒) หรือ “เหล้าใส” ซึ่งเป็นรูปแบบของสาเกที่เรารู้จักในปัจจุบัน
ในยุคนี้ สาเกไม่ได้มีเพียงในวัดหรือราชสำนักอีกต่อไป แต่กลายเป็นเครื่องดื่มของประชาชนทั่วไป มีโรงผลิตเกิดขึ้นทั่วประเทศ และเริ่มมีการขนส่งสาเกไปขายยังเมืองใหญ่ เช่น เอโดะ (โตเกียว) ผ่านทางเรือและแม่น้ำ
สาเกในยุคเอโดะกลายเป็นสินค้าสำคัญของเศรษฐกิจญี่ปุ่น และเป็นรากฐานของ “สาเกสมัยใหม่” ที่เรารู้จักในปัจจุบัน
ยุคเมจิ – สาเกสู่ยุคอุตสาหกรรม
เมื่อญี่ปุ่นเข้าสู่ยุค เมจิ (ค.ศ. 1868–1912) ประเทศเริ่มเปิดรับอิทธิพลตะวันตก รัฐบาลได้ประกาศให้การผลิตสาเกเป็นกิจการที่ต้องขออนุญาตและเสียภาษี ส่งผลให้เกิดโรงผลิตสาเกเชิงอุตสาหกรรมจำนวนมาก
ในปี 1904 มีการก่อตั้ง สถาบันวิจัยเหล้าแห่งชาติ (National Research Institute of Brewing) เพื่อวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการหมักอย่างมีมาตรฐาน
ช่วงนี้เองที่เกิดการจำแนกประเภทสาเก เช่น
จุนไม (純米酒) – สาเกแท้ไม่ผสมแอลกอฮอล์เพิ่มเติม
ฮอนโจโซ (本醸造) – สาเกที่เติมแอลกอฮอล์เล็กน้อยเพื่อกลิ่นหอม
ไดกินโจ (大吟醸) – สาเกระดับพรีเมียมที่ใช้ข้าวขัดละเอียดกว่า 50%
ยุคหลังสงครามโลก – สาเกสู่เวทีโลก
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง แม้การผลิตสาเกจะลดลงชั่วคราวจากภาวะขาดแคลนข้าว แต่ก็กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 1970–1990 โดยเน้นคุณภาพและการส่งออก สาเกเริ่มเป็นที่รู้จักในต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา จากการเติบโตของร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วโลก
โรงสาเกญี่ปุ่นจำนวนมากเริ่มส่งออก และจัดงานเทศกาลชิมสาเก เช่น Sake Festival ในเมืองฮิโรชิมา หรือ Sake Expo Tokyo ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมระดับนานาชาติ
ในปัจจุบันมีการผลิต Craft Sake ที่เน้นความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น รวมถึงสาเกแบบใหม่ ๆ เช่น Sparkling Sake ที่มีฟองคล้ายแชมเปญ
สาเกในวัฒนธรรมญี่ปุ่น
สาเกเป็นสัญลักษณ์ของ “ความบริสุทธิ์” และ “การเริ่มต้นใหม่” ปรากฏในพิธีแต่งงาน งานศพ การเฉลิมฉลอง และเทศกาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ
ในวัฒนธรรมป๊อป สาเกยังปรากฏในอนิเมะ ภาพยนตร์ และวรรณกรรม เช่น “Your Name (君の名は。)” ที่ตัวละครใช้คุจิคามิซาเกะเชื่อมโยงมิติเวลา
พิธีกรรมสำคัญที่มีสาเกเกี่ยวข้อง เช่น
พิธีกรรมทางศาสนา ในพิธีแต่งงานแบบชินโตที่เรียกว่า (三三九度 – San-san-kudo) คู่บ่าวสาวจะดื่มสาเกสามจอกเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นชีวิตคู่
พิธีวันปีใหม่ ในวันขึ้นปีใหม่ ชาวญี่ปุ่นจะดื่มสาเกสมุนไพร (お屠蘇 – Otoso) เพื่อขับไล่สิ่งไม่ดีและรับพร
พิธีขึ้นบ้านใหม่ / พิธีเปิดร้าน ใช้สาเกรินถวายเทพเจ้าเพื่อขอพร
ในชีวิตประจำวัน สาเกยังถูกใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการปรุงอาหารเพื่อเพิ่มความหอมและรสอูมามิ หรือใช้เป็นเครื่องดื่มผ่อนคลายในร้านอิซากายะ (Izakaya) ซึ่งเป็นบาร์แบบญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างสูง
สาเกจึงไม่ใช่เพียง “เครื่องดื่มแห่งการเฉลิมฉลอง” แต่เป็น “เครื่องดื่มแห่งความศรัทธา” ที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของชาวญี่ปุ่น
ประเภทของสาเก
การทำความเข้าใจสาเกต้องเริ่มจากการทำความรู้จักประเภทหลัก ๆ ที่จำแนกตามวัตถุดิบและกรรมวิธี ได้แก่:
จุนไม (Junmai – 純米酒): ผลิตจากข้าว น้ำ และโคจิเท่านั้น ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพิ่มเติม มีรสชาติเข้มข้นและกลิ่นข้าวที่ชัดเจน เหมาะกับการดื่มอุ่น ๆ เพื่อดึงรสชาติออกมา
ฮอนโจโซ (Honjozo – 本醸造酒): มีการเติมแอลกอฮอล์เล็กน้อยเพื่อดึงกลิ่นหอมและรสชาติให้เบายิ่งขึ้น ขัดข้าวเหลือไม่เกิน 70% ดื่มง่าย สดชื่น
จุนไม กินโจ (Junmai Ginjo – 純米吟醸酒): ใช้ข้าวที่ขัดจนเหลือประมาณ 60% ของเมล็ด หมักในอุณหภูมิต่ำเพื่อสร้างกลิ่นหอมคล้ายผลไม้ รสชาตินุ่มนวลและสดชื่น เหมาะกับการดื่มเย็น
จุนไม ไดกินโจ (Junmai Daiginjo – 純米大吟醸酒): เป็นสาเกระดับพรีเมียมที่ใช้ข้าวขัดละเอียดกว่า 50% ของเมล็ด มีกลิ่นหอมซับซ้อนและรสชาติที่ละเอียดอ่อนที่สุด นิยมดื่มแบบเย็นเพื่อรับรู้ความพิเศษของรสชาติอย่างเต็มที่
นามะซาเกะ (Namazake – 生酒): เป็นสาเกสดที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรซ์ จึงมีรสชาติที่สดและหอมแรง ต้องเก็บในตู้เย็นตลอดเวลา รสสดใหม่ กลิ่นผลไม้อ่อน ๆ
นิงโงริ (Nigori – にごり酒): สาเกขุ่นที่ยังมีตะกอนข้าวอยู่ รสชาตินุ่มนวลและหวาน เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นดื่ม นิยมกับของหวาน หรือดื่มเบา ๆ
วิธีการเลือกสาเก
ถ้าชอบรสเข้ม กลิ่นข้าวชัด → Junmai
ถ้าชอบกลิ่นหอมสดชื่น → Ginjo / Daiginjo
ถ้าชอบรสหวานนุ่ม รสผลไม้ → Nigori
ถ้าชอบสาเกสดสด → Namazake
การดื่มสาเกแบบญี่ปุ่น
ดื่มเย็น (Reishu 冷酒) – เหมาะกับสาเกคุณภาพสูง แช่เย็นที่อุณหภูมิ 5-10°C
ดื่มอุ่น (Atsukan 熱燗) – เหมาะกับสาเกจุนไมหรือฮอนโจโซ นิยมดื่มในฤดูหนาว อุณหภูมิอุ่นที่ 40-55 °C
ดื่มแบบเย็นจัด (Yukihie) – สำหรับหน้าร้อน
ดื่มคู่กับอาหารญี่ปุ่น เช่น ซาชิมิ เทมปุระ หรือยากิโทริ
ดื่มในพิธี ใช้ในงานแต่ง งานบวงสรวงที่สื่อถึงความบริสุทธิ์และเคารพ
การดื่มสาเกยังมีมารยาท เช่น ต้องรินให้ผู้อื่น ไม่รินให้ตัวเอง
วัตถุดิบหลักในการผลิตสาเก
1.) ข้าว (Sakamai 酒米) – ข้าวชนิดพิเศษที่มีเมล็ดใหญ่และมีแป้งมาก เช่น ยามาดะนิชิกิ (山田錦)
2.) น้ำ (Mizu 水) – น้ำบริสุทธ์หรือน้ำแข็งบริสุทธิ์จากภูเขาที่อุดมด้วยแร่ธาตุ (เช่น น้ำจากฟุชิมิ หรือนาดะ) การใช้น้ำแร่จากแหล่งเฉพาะช่วยให้ได้สาเกที่มีรสชาติโดดเด่น
3.) โคจิ (Koji 麹) – เชื้อราที่ช่วยย่อยแป้งเป็นน้ำตาล
4.) ยีสต์ (Kobo 酵母) – จุลินทรีย์ที่เปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์และกลิ่นเฉพาะตัว
กระบวนการผลิตสาเก (Sake Production Process)
– การขัดข้าว (Seimai 精米)
ข้าวจะถูก “ขัด” เพื่อเอาส่วนรอบนอกที่มีไขมันและโปรตีนออก ยิ่งขัดมาก สาเกจะยิ่งใส หอม และพรีเมียม เช่น
ขัดเหลือ 70% → Honjozo
ขัดเหลือ 60% → Ginjo
ขัดเหลือ 50% หรือน้อยกว่า → Daiginjo
จุดนี้เองที่แบ่งประเภทของสาเกตามระดับการขัดข้าว
ที่มา: https://skliquor.com
– การซาวและแช่ข้าว (Senmai & Shinseki)
ข้าวจะถูกซาวจนน้ำใส และแช่ในเวลาที่ควบคุมอย่างแม่นยำ เพราะความชื้นของข้าวมีผลต่อการนึ่งและหมัก
– การนึ่งข้าว (Jōmai 蒸米)
ข้าวจะถูกนึ่งในระบบไอน้ำ ไม่ต้ม ต้องนึ่งให้ข้าว “สุกแต่ยังแข็ง” – เพื่อควบคุมการดูดซึมน้ำและการเจริญของโคจิ
– การทำโคจิ (Seigiku 製麹)
นำข้าวนึ่งไปผสมกับเชื้อราโคจิในห้องอุณหภูมิและควบคุมความชื้นโดยทิ้งไว้ 40–50 ชั่วโมง โคจิจะเปลี่ยนแป้งในข้าวเป็นน้ำตาล พร้อมสำหรับกระบวนการหมัก
– การเตรียมยีสต์ (Shubo 酛 หรือ Moto)
ผสมโคจิ ข้าวนึ่ง น้ำ และยีสต์ในสัดส่วนพิเศษ ใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ในการสร้างหัวเชื้อหมัก ซึ่งช่วยให้เกิดกลิ่นเฉพาะของสาเก เช่น กลิ่นผลไม้ ดอกไม้ หรือข้าวหมัก นอกจากนี้ยังมีการใช้ยีสต์เฉพาะของแต่ละโรงงาน เช่น (Kura Yeast)
– การหมักหลัก (Moromi 醪)
นำหัวเชื้อ (Shubo) มาผสมกับโคจิ ข้าวนึ่ง และน้ำ โดยเพิ่มส่วนผสมทีละขั้น (Sandan-jikomi) – 3 วัน 3 รอบ
หมักรวมประมาณ 20–30 วัน ที่อุณหภูมิ 5–15°C
– การกรอง (Jōsō 上槽)
เมือกหมัก (Moromi) จะถูกนำไปกรองแยกน้ำสาเกออกจากกากข้าว (Sake-kasu) อาจใช้แรงดันหรือวิธีการปล่อยไหลเองตามแรงโน้มถ่วง
– การบ่ม (Jukusei 熟成)
สาเกดิบ (Nama-zake) จะถูกบ่มในถังเหล็กหรือถังไม้เพื่อให้รสชาติกลมกล่อม นุ่มนวล บางชนิดอาจบ่ม 3 เดือน บางชนิดอาจนานถึง 1 ปี
– การพาสเจอไรซ์ (Hi-ire 火入れ)
ใช้ความร้อนต่ำเพื่อฆ่าเชื้อและยับยั้งยีสต์ และรักษาความคงที่ของรสชาติ
หากไม่พาสเจอไรซ์ สาเกจะถูกเรียกว่า “นามะซาเก (Namazake)”
– การบรรจุขวด (Binzume 瓶詰め)
สาเกจะถูกกรองอีกครั้ง เติมน้ำเพื่อปรับแอลกอฮอล์ (ถ้าต้องการ) จากนั้นบรรจุขวดด้วยมาตรฐานความสะอาดสูพร้อมจัดจำหน่าย
โรงกลั่นบางแห่งยังใช้ถังไม้หรือบ่มในอุณหภูมิธรรมชาติ เพื่อเพิ่มมิติรสชาติ และก็มีโรงกลั่นที่ผลิต “สาเกดิบไม่กรอง” (Nigori Nama Genshu) สำหรับสายดื่มข้น
เหล้าประเภทอื่น ๆ ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น
นอกจากสาเกแล้ว ญี่ปุ่นยังมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่น่าสนใจอีกหลายชนิดที่สะท้อนภูมิปัญญาเฉพาะถิ่น เช่น
โชจู (焼酎): เหล้ากลั่นจากวัตถุดิบหลากหลาย เช่น ข้าว บาร์เลย์ มันหวาน หรือข้าวโพด มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงกว่าสาเก
อุเมะชู (梅酒): เหล้าบ๊วยที่มีรสชาติหอมหวานอมเปรี้ยว ดื่มง่ายและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
อาวาโมริ (泡盛): เหล้ากลั่นเฉพาะถิ่นจากโอกินาวา ซึ่งใช้ข้าวไทยเป็นวัตถุดิบในการหมัก
แสดงให้เห็นว่าคนญี่ปุ่นมีความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาเครื่องดื่มจากธรรมชาติและภูมิปัญญาเฉพาะถิ่น และสาเกจึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่ม หากแต่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่หลอมรวมภูมิปัญญา ความศรัทธา และศิลปะการผลิตเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
สาเกยุคใหม่ – ศิลปะแห่งการหมักที่ไม่มีวันตาย
ในศตวรรษที่ 21 สาเกได้พัฒนาไปไกลกว่าการเป็นเหล้าประจำชาติ มีสาเกแบบใหม่เกิดขึ้นมากมาย เช่น
Sparkling Sake สาเกมีฟองแบบแชมเปญ
Aged Sake (Koshu) สาเกบ่มนานให้รสเข้มข้น
Craft Sake ผลิตในโรงขนาดเล็ก เน้นรสเฉพาะถิ่น
Low-alcohol Sake สำหรับผู้บริโภครุ่นใหม่
สาเกญี่ปุ่นยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของญี่ปุ่น (Intangible Cultural Heritage)” เพื่อรักษาความรู้และศิลปะการหมักที่สืบทอดมายาวนาน
บทสรุป
เหล้าญี่ปุ่น หรือ “สาเก” คือภาพสะท้อนของจิตวิญญาณญี่ปุ่นอย่างแท้จริง จากเครื่องดื่มที่เคี้ยวด้วยปากในยุคโบราณ สู่ศิลปะแห่งการหมักที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ทุกหยดของสาเกไม่เพียงแต่บรรจุรสชาติของข้าว น้ำ และเวลา หากแต่บรรจุ “หัวใจของผู้ผลิต” และ “วัฒนธรรมแห่งความเคารพต่อธรรมชาติ” ที่เป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน
“สาเกไม่ใช่เพียงเครื่องดื่มแห่งความมึนเมา แต่คือรสชาติของวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่หมักบ่มมานับพันปี”
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://nihonshu-tourism.com
https://www.sawanotsuru.co.jp
*______________________________________*
เดินทางญี่ปุ่นเมื่อไหร่แนะนำ Nihonsim และ Skyberry Pocket WiFi ใช้งานง่าย สะดวก ใช้อินเตอร์เน็ตได้ไม่จำกัดสบายใจตลอดทริป