Price List FAQ Book Now
Page Top

skyberry

ใช้งานอินเตอร์เน็ตในต่างประเทศต้อง Skyberry

02-105-4568
contact application form

JAPAN

ประวัติ วัฒนธรรม และความลับแห่งรสชาติของเหล้าญี่ปุ่น

ศิลปะแห่งการหมักข้าวที่สะท้อนจิตวิญญาณของชนชาติญี่ปุ่น

     เหล้าญี่ปุ่น หรือที่รู้จักในชื่อว่า สาเก” (日本酒 / Nihonshu) เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมญี่ปุ่นมากว่าพันปี เกิดจากภูมิปัญญาการหมักข้าวและน้ำธรรมชาติที่บริสุทธิ์ จนกลายเป็นศิลปะการผลิตอันละเอียดอ่อนที่สะท้อนจิตวิญญาณของชนชาติที่ให้ความเคารพต่อธรรมชาติและความประณีตในทุกรายละเอียด และพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากเครื่องดื่มในพิธีกรรม สู่สินค้าเศรษฐกิจ และท้ายที่สุดคือเครื่องดื่มระดับโลกที่โดดเด่นด้วยรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์

 

สาเกคืออะไร

สาเก (Sake / 日本酒)” คือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผลิตจากการหมักข้าวและน้ำ โดยใช้เชื้อราโคจิในการย่อยแป้งเป็นน้ำตาล แล้วให้ยีสต์เปลี่ยนน้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์

ต่างจากไวน์หรือเบียร์ตรงที่ “การย่อยแป้งและการหมักเกิดขึ้นพร้อมกัน” (เรียกว่า Multiple Parallel Fermentation) ทำให้สาเกมีความซับซ้อนและรสชาติละเมียดละไม

 

 

จุดกำเนิดของเหล้าญี่ปุ่น

     จุดกำเนิดของสาเกย้อนกลับไปในช่วง ยุคโจกง (縄文時代) และ ยุคยะโยอิ (弥生時代) (ประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 300) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนญี่ปุ่นเริ่มรู้จักการเพาะปลูกข้าว

ในสมัยนั้น ข้าวถือเป็นธัญพืชศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในพิธีกรรมบูชาธรรมชาติ โดยการทำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดแรกที่ทำจากข้าวในยุคนั้นเรียกว่า คุจิคามิซาเกะ” (口噛み酒) หรือ เหล้าที่เคี้ยวด้วยปาก” วิธีการผลิตคือหญิงสาวจะเคี้ยวข้าวและบ้วนน้ำข้าวลงในภาชนะเพื่อให้เอนไซม์ในน้ำลายย่อยแป้งให้กลายเป็นน้ำตาล ก่อนจะปล่อยให้หมักตามธรรมชาติจนเกิดแอลกอฮอล์อ่อน ๆ แม้วิธีนี้จะดูดิบแบบพื้นบ้าน แต่ก็ถือเป็นภูมิปัญญาแรกเริ่มที่สร้างเครื่องดื่มแห่งศรัทธาที่เชื่อมโยงมนุษย์กับเทพเจ้า

 

สาเกในยุคโบราณและราชสำนัก

     เข้าสู่ยุค นาระ (ค.ศ. 710–794) ญี่ปุ่นเริ่มรับอิทธิพลจากจีน ทั้งด้านเทคนิคการหมักและการบริหารราชการ มีการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐที่ดูแลการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะ เรียกว่า ซาเคะโนะสึคาสะ” (酒造司) ซึ่งถือเป็นโรงผลิตสาเกแห่งแรกอย่างเป็นทางการ

ในสมัย เฮอัน (ค.ศ. 794–1185) สาเกกลายเป็นเครื่องดื่มประจำราชสำนักและศาสนา ใช้ในพิธีสำคัญต่าง ๆ ของลัทธิ ชินโต (神道) เพื่อถวายแก่เทพเจ้า เรียกว่า มิกิ” (御神酒) หรือ “เหล้าแห่งเทพเจ้า” เชื่อว่าการดื่มมิกิเป็นการชำระล้างจิตใจและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทพ

นอกจากนี้ ในราชสำนักยังมีการพัฒนาเทคนิคการหมัก การกรอง และการเก็บรักษา ทำให้สาเกในยุคนี้เริ่มมีรสชาติซับซ้อนและละเอียดอ่อนมากขึ้น

 

ยุควัดและศาลเจ้า – แหล่งผลิตสาเกแห่งแรกของญี่ปุ่น

     ในสมัย คามาคุระ (ค.ศ. 1185–1333) และ มุโรมาจิ (ค.ศ. 1336–1573) วัดและศาลเจ้าหลายแห่งเริ่มผลิตสาเกเอง เพื่อใช้ในพิธีกรรมและแจกจ่ายให้ผู้มาร่วมงานทางศาสนา

พระสงฆ์ในยุคนี้มีความรู้ด้านการหมักและการควบคุมความสะอาด ทำให้สาเกจากวัดมีคุณภาพสูง และกลายเป็นต้นแบบของโรงสาเกเชิงพาณิชย์ในเวลาต่อมา

ตัวอย่างเช่น วัดในจังหวัดนารา เช่น วัดโชริวจิ (正暦寺) ถูกบันทึกว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ผลิตสาเกที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นต้นแบบของสาเกสมัยใหม่ในเวลาต่อมา
ใน ยุคมุโรมาจิ ได้มีการบันทึกเทคนิคการทำสาเกอย่างเป็นระบบ เช่น การใช้ โมโตะ (酛) หรือยีสต์เริ่มต้น เพื่อควบคุมการหมักให้คงที่ และเริ่มมีการก่อตั้งกลุ่ม โทจิ” (杜氏) หรือช่างหมักสาเกมืออาชีพที่สืบทอดเทคนิคอันซับซ้อนจากรุ่นสู่รุ่น

 

ยุคเอโดะ – ยุคทองของสาเก

     สมัย เอโดะ (ค.ศ. 1603–1868) ถือเป็นยุคทองของสาเกอย่างแท้จริง เพราะประเทศอยู่ในภาวะสงบยาวนาน เศรษฐกิจเติบโต และเมืองใหญ่เริ่มขยายตัว

มีการพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ เช่น

         การใช้เชื้อราโคจิ (麹): เพื่อช่วยย่อยแป้งข้าวเป็นน้ำตาลอย่างมีประสิทธิภาพ

         การหมักหลายขั้นตอน (Multiple Parallel Fermentation): เป็นเทคนิคเฉพาะของสาเกที่ทำให้การย่อยแป้งและการเปลี่ยนน้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์เกิดขึ้นพร้อมกัน ส่งผลให้ได้สาเกที่มีความซับซ้อนและรสชาติที่ลุ่มลึก

         การกรองและปรับรสให้ใสและหอมมากขึ้น

เมือง อิตามิ (伊丹) และ นารา (奈良) กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตสาเกคุณภาพสูง ซึ่งเรียกว่า เซโชชู” (清酒) หรือ “เหล้าใส” ซึ่งเป็นรูปแบบของสาเกที่เรารู้จักในปัจจุบัน

ในยุคนี้ สาเกไม่ได้มีเพียงในวัดหรือราชสำนักอีกต่อไป แต่กลายเป็นเครื่องดื่มของประชาชนทั่วไป มีโรงผลิตเกิดขึ้นทั่วประเทศ และเริ่มมีการขนส่งสาเกไปขายยังเมืองใหญ่ เช่น เอโดะ (โตเกียว) ผ่านทางเรือและแม่น้ำ

สาเกในยุคเอโดะกลายเป็นสินค้าสำคัญของเศรษฐกิจญี่ปุ่น และเป็นรากฐานของ “สาเกสมัยใหม่” ที่เรารู้จักในปัจจุบัน

 

ยุคเมจิ – สาเกสู่ยุคอุตสาหกรรม

     เมื่อญี่ปุ่นเข้าสู่ยุค เมจิ (ค.ศ. 1868–1912) ประเทศเริ่มเปิดรับอิทธิพลตะวันตก รัฐบาลได้ประกาศให้การผลิตสาเกเป็นกิจการที่ต้องขออนุญาตและเสียภาษี ส่งผลให้เกิดโรงผลิตสาเกเชิงอุตสาหกรรมจำนวนมาก

ในปี 1904 มีการก่อตั้ง สถาบันวิจัยเหล้าแห่งชาติ (National Research Institute of Brewing) เพื่อวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการหมักอย่างมีมาตรฐาน

ช่วงนี้เองที่เกิดการจำแนกประเภทสาเก เช่น

         จุนไม (純米酒) – สาเกแท้ไม่ผสมแอลกอฮอล์เพิ่มเติม

         ฮอนโจโซ (本醸造) – สาเกที่เติมแอลกอฮอล์เล็กน้อยเพื่อกลิ่นหอม

         ไดกินโจ (大吟醸) – สาเกระดับพรีเมียมที่ใช้ข้าวขัดละเอียดกว่า 50%

 

ยุคหลังสงครามโลก – สาเกสู่เวทีโลก

     หลังสงครามโลกครั้งที่สอง แม้การผลิตสาเกจะลดลงชั่วคราวจากภาวะขาดแคลนข้าว แต่ก็กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 1970–1990 โดยเน้นคุณภาพและการส่งออก สาเกเริ่มเป็นที่รู้จักในต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา จากการเติบโตของร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วโลก

โรงสาเกญี่ปุ่นจำนวนมากเริ่มส่งออก และจัดงานเทศกาลชิมสาเก เช่น Sake Festival ในเมืองฮิโรชิมา หรือ Sake Expo Tokyo ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมระดับนานาชาติ

ในปัจจุบันมีการผลิต Craft Sake ที่เน้นความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น รวมถึงสาเกแบบใหม่ ๆ เช่น Sparkling Sake ที่มีฟองคล้ายแชมเปญ

 

สาเกในวัฒนธรรมญี่ปุ่น

     สาเกเป็นสัญลักษณ์ของ “ความบริสุทธิ์” และ “การเริ่มต้นใหม่” ปรากฏในพิธีแต่งงาน งานศพ การเฉลิมฉลอง และเทศกาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ

ในวัฒนธรรมป๊อป สาเกยังปรากฏในอนิเมะ ภาพยนตร์ และวรรณกรรม เช่น “Your Name (君の名は。)” ที่ตัวละครใช้คุจิคามิซาเกะเชื่อมโยงมิติเวลา

พิธีกรรมสำคัญที่มีสาเกเกี่ยวข้อง เช่น

         พิธีกรรมทางศาสนา ในพิธีแต่งงานแบบชินโตที่เรียกว่า (三三九度 – San-san-kudo) คู่บ่าวสาวจะดื่มสาเกสามจอกเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นชีวิตคู่

         พิธีวันปีใหม่ ในวันขึ้นปีใหม่ ชาวญี่ปุ่นจะดื่มสาเกสมุนไพร (お屠蘇 – Otoso) เพื่อขับไล่สิ่งไม่ดีและรับพร

         พิธีขึ้นบ้านใหม่ / พิธีเปิดร้าน ใช้สาเกรินถวายเทพเจ้าเพื่อขอพร

         ในชีวิตประจำวัน สาเกยังถูกใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการปรุงอาหารเพื่อเพิ่มความหอมและรสอูมามิ หรือใช้เป็นเครื่องดื่มผ่อนคลายในร้านอิซากายะ (Izakaya) ซึ่งเป็นบาร์แบบญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างสูง

สาเกจึงไม่ใช่เพียง “เครื่องดื่มแห่งการเฉลิมฉลอง” แต่เป็น “เครื่องดื่มแห่งความศรัทธา” ที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของชาวญี่ปุ่น

 

ประเภทของสาเก

การทำความเข้าใจสาเกต้องเริ่มจากการทำความรู้จักประเภทหลัก ๆ ที่จำแนกตามวัตถุดิบและกรรมวิธี ได้แก่:

         จุนไม (Junmai – 純米酒): ผลิตจากข้าว น้ำ และโคจิเท่านั้น ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพิ่มเติม มีรสชาติเข้มข้นและกลิ่นข้าวที่ชัดเจน เหมาะกับการดื่มอุ่น ๆ เพื่อดึงรสชาติออกมา

         ฮอนโจโซ (Honjozo – 本醸造酒): มีการเติมแอลกอฮอล์เล็กน้อยเพื่อดึงกลิ่นหอมและรสชาติให้เบายิ่งขึ้น ขัดข้าวเหลือไม่เกิน 70% ดื่มง่าย สดชื่น

         จุนไม กินโจ (Junmai Ginjo – 純米吟醸酒): ใช้ข้าวที่ขัดจนเหลือประมาณ 60% ของเมล็ด หมักในอุณหภูมิต่ำเพื่อสร้างกลิ่นหอมคล้ายผลไม้ รสชาตินุ่มนวลและสดชื่น เหมาะกับการดื่มเย็น

         จุนไม ไดกินโจ (Junmai Daiginjo – 純米大吟醸酒): เป็นสาเกระดับพรีเมียมที่ใช้ข้าวขัดละเอียดกว่า 50% ของเมล็ด มีกลิ่นหอมซับซ้อนและรสชาติที่ละเอียดอ่อนที่สุด นิยมดื่มแบบเย็นเพื่อรับรู้ความพิเศษของรสชาติอย่างเต็มที่

         นามะซาเกะ (Namazake – 生酒): เป็นสาเกสดที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรซ์ จึงมีรสชาติที่สดและหอมแรง ต้องเก็บในตู้เย็นตลอดเวลา รสสดใหม่ กลิ่นผลไม้อ่อน ๆ

         นิงโงริ (Nigori – にごり酒): สาเกขุ่นที่ยังมีตะกอนข้าวอยู่ รสชาตินุ่มนวลและหวาน เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นดื่ม นิยมกับของหวาน หรือดื่มเบา ๆ

 

 

วิธีการเลือกสาเก

         ถ้าชอบรสเข้ม กลิ่นข้าวชัด → Junmai

         ถ้าชอบกลิ่นหอมสดชื่น → Ginjo / Daiginjo

         ถ้าชอบรสหวานนุ่ม รสผลไม้ → Nigori

         ถ้าชอบสาเกสดสด → Namazake

 

การดื่มสาเกแบบญี่ปุ่น

         ดื่มเย็น (Reishu 冷酒) – เหมาะกับสาเกคุณภาพสูง แช่เย็นที่อุณหภูมิ 5-10°C

         ดื่มอุ่น (Atsukan 熱燗) – เหมาะกับสาเกจุนไมหรือฮอนโจโซ นิยมดื่มในฤดูหนาว อุณหภูมิอุ่นที่ 40-55 °C

         ดื่มแบบเย็นจัด (Yukihie) – สำหรับหน้าร้อน

         ดื่มคู่กับอาหารญี่ปุ่น เช่น ซาชิมิ เทมปุระ หรือยากิโทริ

         ดื่มในพิธี ใช้ในงานแต่ง งานบวงสรวงที่สื่อถึงความบริสุทธิ์และเคารพ

การดื่มสาเกยังมีมารยาท เช่น ต้องรินให้ผู้อื่น ไม่รินให้ตัวเอง

 

 

วัตถุดิบหลักในการผลิตสาเก

     1.) ข้าว (Sakamai 酒米) – ข้าวชนิดพิเศษที่มีเมล็ดใหญ่และมีแป้งมาก เช่น ยามาดะนิชิกิ (山田錦)

     2.) น้ำ (Mizu 水) – น้ำบริสุทธ์หรือน้ำแข็งบริสุทธิ์จากภูเขาที่อุดมด้วยแร่ธาตุ (เช่น น้ำจากฟุชิมิ หรือนาดะ) การใช้น้ำแร่จากแหล่งเฉพาะช่วยให้ได้สาเกที่มีรสชาติโดดเด่น

     3.) โคจิ (Koji 麹) – เชื้อราที่ช่วยย่อยแป้งเป็นน้ำตาล

     4.) ยีสต์ (Kobo 酵母) –  จุลินทรีย์ที่เปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์และกลิ่นเฉพาะตัว

 

 

กระบวนการผลิตสาเก (Sake Production Process)

       – การขัดข้าว (Seimai 精米)

ข้าวจะถูก “ขัด” เพื่อเอาส่วนรอบนอกที่มีไขมันและโปรตีนออก ยิ่งขัดมาก สาเกจะยิ่งใส หอม และพรีเมียม เช่น

ขัดเหลือ 70% → Honjozo

ขัดเหลือ 60% → Ginjo

ขัดเหลือ 50% หรือน้อยกว่า → Daiginjo

จุดนี้เองที่แบ่งประเภทของสาเกตามระดับการขัดข้าว

 

ที่มา: https://skliquor.com

       – การซาวและแช่ข้าว (Senmai & Shinseki)

ข้าวจะถูกซาวจนน้ำใส และแช่ในเวลาที่ควบคุมอย่างแม่นยำ เพราะความชื้นของข้าวมีผลต่อการนึ่งและหมัก

       – การนึ่งข้าว (Jōmai 蒸米)

ข้าวจะถูกนึ่งในระบบไอน้ำ ไม่ต้ม ต้องนึ่งให้ข้าว “สุกแต่ยังแข็ง” – เพื่อควบคุมการดูดซึมน้ำและการเจริญของโคจิ

       – การทำโคจิ (Seigiku 製麹)

นำข้าวนึ่งไปผสมกับเชื้อราโคจิในห้องอุณหภูมิและควบคุมความชื้นโดยทิ้งไว้ 40–50 ชั่วโมง โคจิจะเปลี่ยนแป้งในข้าวเป็นน้ำตาล พร้อมสำหรับกระบวนการหมัก

       – การเตรียมยีสต์ (Shubo 酛 หรือ Moto)

ผสมโคจิ ข้าวนึ่ง น้ำ และยีสต์ในสัดส่วนพิเศษ ใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ในการสร้างหัวเชื้อหมัก ซึ่งช่วยให้เกิดกลิ่นเฉพาะของสาเก เช่น กลิ่นผลไม้ ดอกไม้ หรือข้าวหมัก นอกจากนี้ยังมีการใช้ยีสต์เฉพาะของแต่ละโรงงาน เช่น (Kura Yeast)

       – การหมักหลัก (Moromi 醪)

นำหัวเชื้อ (Shubo) มาผสมกับโคจิ ข้าวนึ่ง และน้ำ โดยเพิ่มส่วนผสมทีละขั้น (Sandan-jikomi) – 3 วัน 3 รอบ

หมักรวมประมาณ 20–30 วัน ที่อุณหภูมิ 5–15°C

       – การกรอง (Jōsō 上槽)

เมือกหมัก (Moromi) จะถูกนำไปกรองแยกน้ำสาเกออกจากกากข้าว (Sake-kasu) อาจใช้แรงดันหรือวิธีการปล่อยไหลเองตามแรงโน้มถ่วง

       – การบ่ม (Jukusei 熟成)

สาเกดิบ (Nama-zake) จะถูกบ่มในถังเหล็กหรือถังไม้เพื่อให้รสชาติกลมกล่อม นุ่มนวล บางชนิดอาจบ่ม 3 เดือน บางชนิดอาจนานถึง 1 ปี

       – การพาสเจอไรซ์ (Hi-ire 火入れ)

ใช้ความร้อนต่ำเพื่อฆ่าเชื้อและยับยั้งยีสต์ และรักษาความคงที่ของรสชาติ

หากไม่พาสเจอไรซ์ สาเกจะถูกเรียกว่า “นามะซาเก (Namazake)”

       – การบรรจุขวด (Binzume 瓶詰め)

สาเกจะถูกกรองอีกครั้ง เติมน้ำเพื่อปรับแอลกอฮอล์ (ถ้าต้องการ) จากนั้นบรรจุขวดด้วยมาตรฐานความสะอาดสูพร้อมจัดจำหน่าย

โรงกลั่นบางแห่งยังใช้ถังไม้หรือบ่มในอุณหภูมิธรรมชาติ เพื่อเพิ่มมิติรสชาติ และก็มีโรงกลั่นที่ผลิต “สาเกดิบไม่กรอง” (Nigori Nama Genshu) สำหรับสายดื่มข้น

 

เหล้าประเภทอื่น ๆ ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น

นอกจากสาเกแล้ว ญี่ปุ่นยังมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่น่าสนใจอีกหลายชนิดที่สะท้อนภูมิปัญญาเฉพาะถิ่น เช่น

         โชจู (焼酎): เหล้ากลั่นจากวัตถุดิบหลากหลาย เช่น ข้าว บาร์เลย์ มันหวาน หรือข้าวโพด มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงกว่าสาเก

         อุเมะชู (梅酒): เหล้าบ๊วยที่มีรสชาติหอมหวานอมเปรี้ยว ดื่มง่ายและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย

         อาวาโมริ (泡盛): เหล้ากลั่นเฉพาะถิ่นจากโอกินาวา ซึ่งใช้ข้าวไทยเป็นวัตถุดิบในการหมัก

แสดงให้เห็นว่าคนญี่ปุ่นมีความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาเครื่องดื่มจากธรรมชาติและภูมิปัญญาเฉพาะถิ่น และสาเกจึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่ม หากแต่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่หลอมรวมภูมิปัญญา ความศรัทธา และศิลปะการผลิตเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว

 

สาเกยุคใหม่ – ศิลปะแห่งการหมักที่ไม่มีวันตาย

ในศตวรรษที่ 21 สาเกได้พัฒนาไปไกลกว่าการเป็นเหล้าประจำชาติ มีสาเกแบบใหม่เกิดขึ้นมากมาย เช่น

         Sparkling Sake สาเกมีฟองแบบแชมเปญ

         Aged Sake (Koshu) สาเกบ่มนานให้รสเข้มข้น

         Craft Sake ผลิตในโรงขนาดเล็ก เน้นรสเฉพาะถิ่น

         Low-alcohol Sake สำหรับผู้บริโภครุ่นใหม่

สาเกญี่ปุ่นยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของญี่ปุ่น (Intangible Cultural Heritage)” เพื่อรักษาความรู้และศิลปะการหมักที่สืบทอดมายาวนาน

บทสรุป

เหล้าญี่ปุ่น หรือ “สาเก” คือภาพสะท้อนของจิตวิญญาณญี่ปุ่นอย่างแท้จริง จากเครื่องดื่มที่เคี้ยวด้วยปากในยุคโบราณ สู่ศิลปะแห่งการหมักที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ทุกหยดของสาเกไม่เพียงแต่บรรจุรสชาติของข้าว น้ำ และเวลา หากแต่บรรจุ “หัวใจของผู้ผลิต” และ “วัฒนธรรมแห่งความเคารพต่อธรรมชาติ” ที่เป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน

“สาเกไม่ใช่เพียงเครื่องดื่มแห่งความมึนเมา แต่คือรสชาติของวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่หมักบ่มมานับพันปี”

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

https://en.sake-times.com

https://nihonshu-tourism.com
https://www.sawanotsuru.co.jp

https://japansake.or.jp

https://tanoshiiosake.jp

https://www.choshuya.co.th

*______________________________________*

 

เดินทางญี่ปุ่นเมื่อไหร่แนะนำ Nihonsim และ Skyberry Pocket WiFi ใช้งานง่าย สะดวก ใช้อินเตอร์เน็ตได้ไม่จำกัดสบายใจตลอดทริป