Price List FAQ Book Now
Page Top

skyberry

ใช้งานอินเตอร์เน็ตในต่างประเทศต้อง Skyberry

02-105-4568
contact application form

JAPAN

ฮาราจูกุ แฟชั่นสตรีทสุดสร้างสรรค์ที่ต้องไปสัมผัส

แฟชั่นย่านฮาราจูกุและเสน่ห์ที่ไม่มีวันตาย

          เมื่อเอ่ยถึงกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น หลายคนอาจนึกถึงตึกระฟ้า เทคโนโลยีล้ำสมัย หรือวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ผสมผสานอย่างกลมกลืน แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง โตเกียวก็ยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์ทางด้านแฟชั่นและศิลปะการแต่งกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ย่านฮาราจูกุ (Harajuku) ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ระดับโลกของการแต่งตัวหลากสไตล์และการแสดงออกถึงความเป็นตัวเอง ฮาราจูกุไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวหรือย่านการค้าเท่านั้น แต่ยังเป็น “วัฒนธรรม” ที่มีรากฐานทางประวัติศาสตร์และพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ

 

จุดกำเนิดของฮาราจูกุในฐานะย่านแฟชั่น

         เดิมที ฮาราจูกุเป็นเพียงพื้นที่พักอาศัยและศูนย์การทหารใกล้กับศาลเจ้าเมจิ (Meiji Shrine) จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 บริเวณนี้เริ่มกลายเป็นย่านที่ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวอเมริกันที่เข้ามาประจำการในญี่ปุ่น มักจะมาพักอาศัย ส่งผลให้มีการนำเข้าวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา ทั้งเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และวิถีการใช้ชีวิต สิ่งเหล่านี้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ของญี่ปุ่นในยุคนั้นเริ่มทดลองการแต่งตัวแบบที่แตกต่างจากสังคมดั้งเดิม

         ในช่วงทศวรรษ 1960–1970 ถนนโอโมเตะซันโดะ (Omotesando) เริ่มมีร้านเสื้อผ้าและแฟชั่นบูติกเปิดขึ้นมากมาย ขณะที่ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street) ก็เริ่มเป็นที่นิยมของวัยรุ่น เพราะเต็มไปด้วยร้านเล็ก ๆ ที่จำหน่ายเสื้อผ้าแฟชั่นราคาย่อมเยาและมีสไตล์ไม่เหมือนใคร นับจากนั้น ฮาราจูกุก็เริ่มสร้างชื่อเสียงในฐานะแหล่งรวมแฟชั่นนอกกระแสที่ไม่ยึดติดกับแบบแผนใด ๆ

 

ยุคทองของแฟชั่นฮาราจูกุ

          ความเฟื่องฟูของแฟชั่นฮาราจูกุเกิดขึ้นอย่างเต็มตัวในช่วงทศวรรษ 1980–1990 วัยรุ่นญี่ปุ่นเริ่มรวมตัวกันที่ถนนทาเคชิตะและบริเวณรอบ ๆ เพื่อแสดงออกถึงสไตล์ของตัวเอง ทุกวันอาทิตย์จะมีผู้คนมากมายแต่งตัวจัดเต็ม เดินเล่น และให้ช่างภาพอิสระถ่ายรูป บรรยากาศในยุคนั้นทำให้ฮาราจูกุกลายเป็น “เวที” ของการแสดงแฟชั่นที่ไม่มีใครเหมือน

นิตยสาร FRUiTS ที่ก่อตั้งโดยช่างภาพโชอิจิ อาโอกิ (Shoichi Aoki) ในปี 1997 ยิ่งทำให้แฟชั่นจากฮาราจูกุเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ ภาพถ่ายแฟชั่นสตรีตที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ การผสมผสานเสื้อผ้าเก่า-ใหม่ ตะวันตก-ตะวันออก ถูกตีพิมพ์และเผยแพร่ไปทั่วโลก จนเกิดคำว่า “Harajuku Style” ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่ไร้ขีดจำกัด

 

สไตล์แฟชั่นที่โดดเด่น

          หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ฮาราจูกุน่าหลงใหลคือความหลากหลายของสไตล์ที่ไม่สามารถจำกัดได้ตายตัว แต่มีแนวทางสำคัญ ๆ ที่เป็นที่รู้จัก เช่น

 

โลลิต้า (Lolita) ได้แรงบันดาลใจจากเสื้อผ้าในยุควิกตอเรียและโรโกโก มีทั้งแบบหวานสดใส

 โลลิต้ามีสไตล์ที่หลากหลายและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว กลายเป็นหนึ่งในสไตล์สตรีทแฟชั่นญี่ปุ่นที่สำคัญและเป็นที่รู้จักมากที่สุด และได้รับความนิยมไปทั่วโลก กระโปรงหรือเดรสมักจะยาวถึงเข่าหรือต่ำกว่า สวมกระโปรงชั้นในเพื่อเพิ่มวอลลุ่ม เสื้อเบลาส์หรือเสื้อตัวบนจะตกแต่งด้วยลูกไม้หรือระบายข้างในสไตล์วิกตอเรียนหรือโรโกโกะ ถุงเท้าหรือถุงน่องยาวถึงข้อเท้าถึงต้นขาและตกแต่งด้วยลูกไม้ ผู้ที่ชื่นชอบแฟชั่นสไตล์นี้มักสวมชุดแมรี่เจนหรือรองเท้าบูท สไตล์ย่อยที่โด่งดังที่สุดของแฟชั่นโลลิต้า ได้แก่

– สวีทโลลิต้า (Sweet Lolita)

เป็นสไตล์ที่เน้นความน่ารักแบบเด็กๆ เป็นหลัก โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ลายสัตว์น้อยน่ารัก, ธีมจากนิทาน และเสื้อผ้าที่ดูไร้เดียงสาเหมือนเด็กๆ สไตล์นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากแฟชั่นเสื้อผ้าเด็กในยุควิกตอเรียและวัฒนธรรม “คาวาอี้” (น่ารัก) ที่แพร่หลายในญี่ปุ่น มักจะใช้สีพาสเทลเป็นหลัก แต่อาจมีชุดหรือกระโปรงบางชุดที่ใช้สีเข้มหรือสีที่ดูสุภาพขึ้นมาบ้าง ส่วนเครื่องประดับที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของสไตล์สวีทโลลิต้าคือ โบว์ขนาดใหญ่ที่ศีรษะ, กระเป๋าถือสวยๆ และตุ๊กตาสัตว์นุ่มนิ่ม

 

 

– คลาสสิกโลลิต้า (Classic Lolita)

ธีมของสไตล์ย่อยนี้จะใกล้เคียงกับแฟชั่นในยุควิกตอเรียหรือโรโกโก (Rococo) สีที่ใช้ในลุคมักจะเป็นสีหม่นๆ หรือสีที่ไม่ฉูดฉาด ทำให้สไตล์นี้ดูมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ลายพิมพ์ดอกไม้และสีพื้นเป็นที่นิยม แต่ก็มีการใช้ลายพิมพ์ที่ดูซับซ้อนขึ้นด้วยเช่นกัน เครื่องประดับยอดนิยมสำหรับสไตล์คลาสสิกโลลิต้าได้แก่ ริบบิ้นขนาดเล็ก, หมวกบอนเน็ต, ทรงผมสี่เหลี่ยม และคอร์เซ็ตสำหรับผม

 

 

– โกธิคโลลิต้า (Gothic Lolita)

การแต่งกายที่เน้นสีดำ การใช้เครื่องประดับโลหะ เครื่องราง และการออกแบบที่ดูมืดหม่นลึกลับ เป็นสไตล์โลลิต้าที่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากแฟชั่นโกธิคแบบตะวันออกและสไตล์วิกตอเรีย มีจุดเด่นอยู่ที่การใช้สีเข้มและเครื่องประดับที่ตกแต่งด้วยลวดลายโครงกระดูก, ค้างคาว, แมงมุม รวมถึงสัญลักษณ์อื่นๆ ที่เป็นที่นิยมในวัฒนธรรมโกธิค เช่น ตัวละครจากภาพยนตร์ของ Tim Burton นอกจากนี้ ลวดลายประตูเหล็กดัดและสถาปัตยกรรมในยุควิกตอเรียก็มักถูกนำมาใช้เป็นลายพิมพ์บนเสื้อผ้าด้วยเช่นกัน ส่วนเครื่องประดับยอดนิยมสำหรับสไตล์นี้ได้แก่ หมวกเล็กๆ, ที่คาดผมทรงสี่เหลี่ยม และเข็มกลัด

 

 

พังก์ (Punk Style)

ได้อิทธิพลจากดนตรีพังก์ตะวันตก เน้นความดิบ กบฏ และการต่อต้านกฎเกณฑ์สังคม พังก์เป็นสไตล์ที่ทดลองผสมผสานอิทธิพลจากแฟชั่นพังก์และโลลิต้าเข้าด้วยกัน บางครั้งอาจดูแปลกแยกหรือแปลกแหวกแนว แต่ก็ยังคงรักษารูปร่างและโครงชุดที่เป็นเอกลักษณ์ไว้

 

 

เดโคระ (Decora Style)

การแต่งตัวที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับหลากสี ตั้งแต่กิ๊บติดผม สร้อยข้อมือ ไปจนถึงของตกแต่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้ดูสดใสร่าเริง เกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ถึงต้นปี 2000 และกลายเป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Kyary Pamyu Pamyu  นักร้องที่สร้างชื่อเสียงในวงการแฟชั่นฮาราจูกุก่อนจะเริ่มเข้าสู่วงการเพลง ผู้ที่แต่งตามสไตล์นี้มักจะยึดโทนสีเป็นหลัก เช่น เดโคระสีชมพู (Pink Decora), เดโคระสีแดง (Red Decora), เดโคระสีเข้ม (Dark Decora) และ เดโคระสีรุ้ง (Rainbow Decora) โดยทั่วไปมักสวมเสื้อยืดเรียบๆ หรือเสื้อฮู้ด จับคู่กับกระโปรงสั้นทรงบัลเลต์ ทรงผมมักจะรวบหางม้าต่ำพร้อมกับไว้ผมหน้าม้ายาว ส่วนการแต่งหน้านั้นเรียบง่าย แต่ สิ่งสำคัญที่สุดของสไตล์เดโคระก็คือการประดับเครื่องประดับน่ารักๆ หลายชั้น จนแทบจะปกปิดผมหน้าม้าและผมด้านหน้าไปเลย นอกจากนี้ยังนิยมสวมถุงน่อง เลกกิ้ง ปลอกแขน และถุงเท้ายาวถึงเข่าแบบซ้อนกันเป็นชั้นๆ รายละเอียดที่พบได้บ่อยคือ ลายเสือดาว และ หน้ากากอนามัยลวดลายต่างๆ แม้ว่าแฟชั่นนี้จะไม่เป็นที่นิยมมากเท่าเมื่อก่อน แต่ก็ยังคงมีผู้คนทั่วโลกที่ชื่นชอบและหลงใหลในเสน่ห์ของมันอยู่เสมอ

 

ที่มา: https://japan-clothing.com

 

Gyaru และ Kogal

          สไตล์สาวมั่นที่เน้นการแต่งหน้าจัด การทำผม และการแต่งกายที่ทันสมัยตามกระแสนิยม

(Gyaru) บางครั้งเรียกว่า (Ganguro) ซึ่งเป็นสไตล์ย่อยของเกียรุอีกทีหนึ่ง เป็นสไตล์แฟชั่นสตรีทของญี่ปุ่นที่มีต้นกำเนิดในช่วงทศวรรษ 1970 เกียรุเน้นสไตล์ที่ดูเป็นผู้หญิงและหรูหรา โดยให้ความสำคัญกับ ความงามแบบประดิษฐ์ (เช่น วิกผม, ขนตาปลอม, เล็บปลอม เป็นต้น) นอกจากนี้ เกียรุยังได้รับอิทธิพลอย่างมากจากแฟชั่นตะวันตกอีกด้วย

(Kogal) หรือ (Kogyaru) เป็นสไตล์ที่ใช้ชุดนักเรียนมัธยมปลายเป็นหลัก แต่จะปรับให้กระโปรงสั้นขึ้น, สวมถุงเท้าหลวมๆ และมักจะย้อมผม รวมถึงใช้ผ้าพันคอด้วย ผู้หญิงที่แต่งสไตล์นี้บางครั้งก็ถูกเรียกว่า “เกียรุ” (Gyaru) สไตล์นี้เคยได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงทศวรรษ 1990 แต่ปัจจุบันความนิยมได้ลดลงไปแล้ว

สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าแฟชั่นฮาราจูกุไม่ได้มีเพียง “แนวเดียว” แต่เป็นการรวมกันของวัฒนธรรมย่อยหลายแขนงที่ผสมผสานจนเกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ

 

ที่มา : https://japan-clothing.com

 

ฮาราจูกุในสายตาชาวโลก

          แฟชั่นฮาราจูกุไม่ได้หยุดอยู่แค่ในญี่ปุ่น แต่ยังขยายอิทธิพลไปทั่วโลก ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 นักร้องชื่อดังอย่าง Gwen Stefani ได้นำแรงบันดาลใจจาก “Harajuku Girls” มาใช้ในการแสดงและมิวสิกวิดีโอ ทำให้คนทั่วโลกเริ่มรู้จักชื่อเสียงของแฟชั่นจากย่านนี้มากขึ้น อีกทั้งนักออกแบบเสื้อผ้าหลายรายก็นำสไตล์จากฮาราจูกุไปพัฒนาต่อยอดเป็นผลงานแฟชั่นระดับสากล

 

ความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายในยุคปัจจุบัน

          แม้แฟชั่นฮาราจูกุจะเคยเฟื่องฟูถึงขีดสุด แต่เมื่อเข้าสู่ยุค 2010 เป็นต้นมา บรรยากาศการแต่งตัวจัดเต็มที่ถนนทาเคชิตะเริ่มลดน้อยลง ส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงของสังคม การขยายตัวของแฟชั่นออนไลน์ และการที่คนรุ่นใหม่หันไปนิยมแฟชั่นที่สวมใส่ง่ายในชีวิตประจำวันมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ฮาราจูกุก็ยังไม่สูญเสียความเป็นเอกลักษณ์ ร้านเสื้อผ้าอินดี้ แบรนด์ดีไซน์เนอร์ท้องถิ่น และคาเฟ่สุดครีเอทีฟ ยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การรวมตัวของคนรักแฟชั่นในงานอีเวนต์หรืองานแฟชั่นโชว์ยังเป็นสิ่งที่รักษาจิตวิญญาณของ “Harajuku Style” ให้คงอยู่

 

ฮาราจูกุที่เป็นมากกว่าการแต่งกาย

          สิ่งที่ทำให้แฟชั่นฮาราจูกุทรงพลัง ไม่ใช่เพียงเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับ แต่คือ “การแสดงออกถึงอัตลักษณ์” และ “เสรีภาพ” ที่คนรุ่นใหม่ได้รับจากมัน สำหรับวัยรุ่นหลายคน ฮาราจูกุเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่พวกเขาสามารถเป็นตัวเองได้อย่างแท้จริง โดยไม่ต้องกังวลกับการถูกตัดสินจากสังคม

ฮาราจูกุจึงไม่ใช่เพียงย่านช้อปปิ้งหรือสถานที่ท่องเที่ยว แต่คือสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมร่วมสมัยญี่ปุ่น ที่สะท้อนการผสมผสานระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ความเป็นท้องถิ่นกับความเป็นสากล และความหลากหลายที่ได้รับการยอมรับ

 

          ย่าน ฮาราจูกุ และแฟชั่นที่ถือกำเนิดจากที่นี่ ไม่ได้เป็นเพียงกระแสชั่วครั้งชั่วคราว แต่ได้กลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่ทรงอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์แฟชั่นทั้งของญี่ปุ่นและระดับโลก ฮาราจูกุไม่ได้เล่าเรื่องราวแค่เสื้อผ้า หากแต่สะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์ ความกล้าที่จะฉีกกรอบ และเสรีภาพในการแสดงออกที่ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

สำหรับผู้ที่หลงใหลในแฟชั่น การมาเยือนฮาราจูกุจึงไม่ใช่เพียงการช้อปปิ้งหรือเดินเล่น แต่คือการสัมผัสพลังของวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวาและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ความหลากหลายของสไตล์ที่ผสมผสาน ทั้งเก่าและใหม่ ทั้งดั้งเดิมและล้ำสมัย ล้วนกลายเป็นแรงบันดาลใจที่ไม่เคยจางหาย

แม้ว่าเทรนด์แฟชั่นจะหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่ฮาราจูกุก็ยังคงเป็นเวทีเปิดกว้างสำหรับความคิดสร้างสรรค์และการทดลองทางแฟชั่น ทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต่างแสวงหาสไตล์ใหม่ ๆ และแรงบันดาลใจที่นี่ ย่านนี้จึงไม่ใช่เพียงภาพสะท้อนของแฟชั่น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพ ความหลากหลาย และการยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรม

          ดังนั้น ฮาราจูกุจึงไม่ใช่แค่แหล่งช้อปปิ้งหรือสถานที่ท่องเที่ยว หากแต่เป็นหัวใจสำคัญของโลกแฟชั่น สถานที่ที่รวบรวมทั้งความคิดสร้างสรรค์และความกล้าที่จะไม่เหมือนใคร หากมีโอกาสมาเยือนโตเกียว การเดินเล่นที่ฮาราจูกุจะทำให้คุณได้สัมผัสเสน่ห์เฉพาะตัวของแฟชั่นญี่ปุ่นที่ยากจะหาที่ใดเหมือน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

https://japan-clothing.com

https://thejapaneseshop.co.uk

https://bokksu.com

https://today.line.me

 

*______________________________________*

 

เดินทางญี่ปุ่นเมื่อไหร่แนะนำ Nihonsim และ Skyberry Pocket WiFi ใช้งานง่าย สะดวก ใช้อินเตอร์เน็ตได้ไม่จำกัดสบายใจตลอดทริป