
JAPAN
ชิราคาวาโกะหมู่บ้านมรดกโลก
มรดกโลกแห่งขุนเขาญี่ปุ่น อัญมณีแห่งกิฟุ
ท่ามกลางหุบเขาลึกในภูมิภาคฮิดะของจังหวัดกิฟุ (Gifu) บนเกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น มีหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์และคุณค่าทางวัฒนธรรม นั่นคือ หมู่บ้านประวัติศาสตร์ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go, 白川郷) หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาฮิดะอันสูงชัน โดยมีแม่น้ำโชกาวะ (Shogawa)ไหลคดเคี้ยวผ่านพื้นที่ลุ่ม ทำให้เกิดภูมิทัศน์ที่งดงามราวกับภาพวาด และยังคงสะท้อนถึงวิถีชีวิตชนบทดั้งเดิมของญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้ง
ชิราคาวาโกะได้รับการยกย่องให้เป็น เขตอนุรักษ์กลุ่มอาคารดั้งเดิมที่สำคัญ เมื่อปี พ.ศ. 2519 และต่อมาในปี พ.ศ. 2538 ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรมโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO World Heritage Site) ร่วมกับโกคายามะ (Gokayama) ในจังหวัดโทยามะ ภายใต้ชื่อ “หมู่บ้านสไตล์กัสโชชิราคาวาโกะและโกคายามะ” (Historic Villages of Shirakawa-go and Gokayama) ความโดดเด่นของหมู่บ้านแห่งนี้คือสถาปัตยกรรมบ้านโบราณแบบ กัสโชสึคุริ (Gassho-zukuri, 合掌造り) ซึ่งมีหลังคาทรงสูงชันคล้ายสองมือที่ยกขึ้นประนมกัน ออกแบบมาเพื่อรองรับหิมะตกหนักในฤดูหนาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ บ้านหลายหลังมีอายุกว่า 200 ปี และยังคงถูกใช้อยู่อาศัยหรือดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ โรงแรม และร้านอาหาร เพื่อถ่ายทอดวัฒนธรรมแก่ผู้มาเยือน ด้วยทำเลที่ตั้งในพื้นที่ห่างไกลและมีหิมะตกหนักที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ชิราคาวาโกะเคยถูกมองว่าเป็นดินแดนปิดตายยามฤดูหนาว แต่ในปัจจุบัน ด้วยการพัฒนาโครงข่ายคมนาคม หมู่บ้านแห่งนี้กลับกลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเชิงมรดกโลกที่มีชื่อเสียงที่สุด นักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติเดินทางมาสัมผัสบรรยากาศทุกปี ไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์หิมะขาวโพลนในฤดูหนาว ดอกซากุระผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ ความเขียวชอุ่มของทุ่งนาในฤดูร้อน หรือใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง
ทั้งหมดนี้ทำให้ชิราคาวาโกะไม่เพียงเป็นหมู่บ้านที่งดงามด้วยทัศนียภาพ แต่ยังเป็น “บ้านเกิดของญี่ปุ่น” ในเชิงสัญลักษณ์ ที่สะท้อนให้เห็นภูมิปัญญาการดำรงชีวิต ความสามัคคีของชุมชน และวัฒนธรรมพื้นถิ่นที่สืบทอดกันมายาวนาน
ประวัติศาสตร์และความเป็นมา
จิตวิญญาณแห่งความผูกพันและภูมิปัญญาการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ
ชุมชนโอกิมาจิ ซึ่งเป็นหมู่บ้านหลักของชิราคาวาโกะ ได้วางหลักการสำคัญสามประการไว้ ได้แก่ “ห้ามขาย ห้ามให้เช่า และห้ามรื้อถอน” เพื่อปกป้องบ้านเรือนดั้งเดิมไม่ให้ถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงจากการบูรณะที่อาจกระทบต่อเอกลักษณ์ดั้งเดิม หลักการนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของชุมชนในการรักษาทั้งสถาปัตยกรรมและวิถีชีวิตร่วมกันไว้ให้คงอยู่สืบไป การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมขององค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1995 จึงไม่เพียงเกิดจากคุณค่าด้านอาคารและภูมิทัศน์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเข้มแข็งของความสัมพันธ์และการสนับสนุนซึ่งกันและกันของผู้คนในหมู่บ้านด้วย
หัวใจสำคัญของชิราคาวาโกะ คือ “ยุอิ” (Yui) ซึ่งหมายถึงความผูกพันและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ชุมชนแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางสภาพธรรมชาติที่โหดร้าย โดยเฉพาะฤดูหนาวที่หิมะตกหนัก การดำรงชีวิตจึงเป็นไปไม่ได้หากขาดความร่วมมือจากทุกครัวเรือน ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมในชีวิตประจำวัน งานเกษตร หรือการซ่อมแซมบ้านเรือน ตัวอย่างที่เห็นชัดคือการซ่อมแซมหลังคามุงจากของบ้านทรงกัสโช ซึ่งต้องอาศัยแรงคนทั้งหมู่บ้านร่วมกันทำ ความร่วมมือนี้ยังเป็นวิถีอันมีค่าในการถ่ายทอดภูมิปัญญาของบรรพบุรุษให้กับคนรุ่นใหม่
“จิตวิญญาณแห่งความผูกพัน” ที่หยั่งรากลึกในชิราคาวาโกะ จึงไม่เพียงทำให้ชุมชนดำรงอยู่ได้ แต่ยังเป็นบทเรียนสำหรับสังคมปัจจุบัน ว่าความสามัคคีและการเชื่อมโยงระหว่างผู้คนคือสิ่งสำคัญที่ไม่ควรถูกลืมเลือน
หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโชกาวะ (Shogawa) ท่ามกลางหุบเขาสูงสลับซับซ้อน ทำให้ในอดีตพื้นที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก การเดินทางยากลำบาก และฤดูหนาวที่ยาวนานบังคับให้ผู้คนต้องพัฒนาวิถีชีวิตเฉพาะถิ่นขึ้นมา บ้านเรือนแบบ กัสโชสึคุริ (Gassho-zukuri) จึงถือกำเนิดขึ้น ด้วยหลังคาทรงสูงชันคล้ายมือพนมที่ออกแบบมาเพื่อต้านทานหิมะหนาหนัก หลังคามุงด้วยฟางข้าวหนาแน่น ไม่เพียงป้องกันความหนาวเย็น แต่ยังสร้างพื้นที่กว้างใต้หลังคาสำหรับเลี้ยงไหม สร้างรายได้เสริมจากการทอผ้าและเกษตรกรรม หลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าพื้นที่ของหมู่บ้านชิราคาวาโกะถูกค้นพบและตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่สมัยเฮอัน (ค.ศ. 794–1185) ด้วยความที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากเมืองใหญ่และแวดล้อมด้วยภูเขา หมู่บ้านแห่งนี้จึงพัฒนาไปในแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ทั้งด้านวัฒนธรรม วิถีชีวิต และสถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรมกัสโชสึคุริ (Gassho-zukuri)
ลักษณะเด่น บ้านแบบกัสโชสึคุริเป็นหัวใจสำคัญของชิราคาวาโกะ ลักษณะของบ้านมีดังนี้
หลังคาทรงสูงชัน – ความชันของหลังคาที่อยู่ระหว่าง 45 ถึง 60 องศาจากแนวระนาบ ทำให้หิมะที่หนาถึงกว่า 2 เมตรไหลลงได้ง่าย ป้องกันไม่ให้โครงสร้างพังทลาย
การใช้วัสดุธรรมชาติ – ใช้ฟางข้าว ไม้สน และไม้เนื้อแข็งในท้องถิ่นถูกนำมาสร้างบ้านโดยไม่ใช้ตะปู แต่ใช้การผูกมัดด้วยเชือกและไม้แทน แสดงถึงภูมิปัญญาชาวบ้าน
พื้นที่กว้างขวาง – ตัวบ้านมีขนาดใหญ่ มักสูง 3–4 ชั้น ชั้นบนใช้สำหรับเลี้ยงหนอนไหมและเก็บผลผลิตทางการเกษตร ส่วนชั้นล่างเป็นที่อยู่อาศัยและทำกิจกรรมครอบครัว
การจัดวางบ้าน – หันหน้าบ้านไปทางทิศใต้เพื่อรับแสงอาทิตย์ และป้องกันลมหนาวจากทิศเหนือ
การสร้างร่วมแรงร่วมใจ – บ้านแต่ละหลังไม่สามารถสร้างด้วยแรงคนเพียงครอบครัวเดียวได้ จำเป็นต้องอาศัยแรงงานร่วมกันทั้งหมู่บ้าน
ความหมายทางวัฒนธรรม
คำว่า “กัสโช” หมายถึงการพนมมือในท่าทางสวดมนต์ ซึ่งสะท้อนถึงความศรัทธาในพุทธศาสนาและการอยู่ร่วมกันของชุมชน หลังคาที่ชันเหมือนมือที่พนม ยังเปรียบเสมือนการอธิษฐานให้ชุมชนอยู่รอดปลอดภัย
วิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่น
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามา แต่ชาวบ้านชิราคาวาโกะยังคงรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิม เช่น
การทำนาและปลูกพืชท้องถิ่น – นาข้าวที่ล้อมรอบหมู่บ้านช่วยสร้างทัศนียภาพอันงดงาม โดยเฉพาะในฤดูร้อน
การทอผ้าไหมและเกษตรกรรม – เป็นอาชีพดั้งเดิมที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน แม้จะลดลงไปมาก แต่ยังคงมีบางครอบครัวสืบสานการเลี้ยงไหมและผลิตผ้าไหม
การอยู่ร่วมกันแบบชุมชน – ชาวบ้านช่วยกันซ่อมแซมหลังคาฟาง ซึ่งต้องเปลี่ยนใหม่ทุก ๆ 20-30 ปี งานเปลี่ยนหลังคาจึงกลายเป็นงานรวมญาติและสังคมชุมชนที่เรียกว่า “ยุอิ” (Yui)
ความเชื่อและศาสนา – ในหมู่บ้านมีศาลเจ้าและวัดซ่อนอยู่ สะท้อนถึงความศรัทธาในชินโตและพุทธศาสนา
ประเพณีและเทศกาล – ชาวบ้านยังคงจัดงานเทศกาลท้องถิ่น เช่น งานเทศกาลฤดูร้อน และงานสวดมนต์ในฤดูหนาว
การพึ่งพิงธรรมชาติ – ทุกกิจกรรมในชีวิตเกี่ยวพันกับสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ ตั้งแต่การสร้างบ้านไปจนถึงการเกษตร
ฤดูกาลและทิวทัศน์ที่งดงาม
ฤดูหนาว (ธันวาคม–กุมภาพันธ์) ชิราคาวาโกะกลายเป็นดินแดนหิมะสีขาวบริสุทธิ์ ไฮไลท์คือการจัดงาน Light-up ที่หมู่บ้านจะเปิดไฟประดับยามค่ำคืน งดงามราวเทพนิยาย ที่ หมู่บ้านโอกิมาจิ (Shirakawa Village Ogimachi area) โดยจะเริ่มเปิดไฟในช่วงเวลา 17.30-19.30 น.
ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม–พฤษภาคม) ดอกซากุระบานสะพรั่งท่ามกลางทิวเขา หิมะเริ่มละลาย เผยให้เห็นทุ่งหญ้าเขียวขจี
ฤดูร้อน (มิถุนายน–สิงหาคม) หมู่บ้านปกคลุมไปด้วยสีเขียวสดของทุ่งนาและป่าไม้ อากาศเย็นสบายเหมาะกับการเดินเล่น
ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน–พฤศจิกายน) ใบไม้เปลี่ยนสีตัดกับหลังคาฟาง ให้ภาพงดงามดุจภาพวาด สร้างบรรยากาศโรแมนติก สีแดง เหลือง และส้มแต่งแต้มทั่วหมู่บ้าน
การท่องเที่ยวและสิ่งที่ไม่ควรพลาด
ไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด
จุดชมวิวชิโรยามะ (Shiroyama Viewpoint) – จุดชมวิวที่สามารถมองเห็นภาพหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านได้ในมุมกว้าง โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่หลังคาบ้านปกคลุมไปด้วยหิมะ
บ้านโบราณที่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ – เช่น บ้านวาดะ (Wada House) บ้านคันดะ (Kanda House) ซึ่งยังคงรักษารูปแบบดั้งเดิมไว้ ที่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมการตกแต่งภายใน
พิพิธภัณฑ์เปิดโล่งกัสโชสึคุริ (Gassho-zukuri Minkaen) – แสดงวิถีชีวิตและบ้านเรือนที่ถูกย้ายมาจากหมู่บ้านอื่น
เทศกาลท้องถิ่น – งานเทศกาลดอกไม้ไฟ และพิธีกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในแต่ละฤดูกาล
เทศกาลไฟฤดูหนาว (Light-up Festival) – จัดขึ้นในเดือนมกราคม–กุมภาพันธ์ของทุกปี บ้านกัสโชจะถูกประดับไฟสวยงามท่ามกลางหิมะ เป็นทัศนียภาพที่โด่งดังไปทั่วโลก
ทุ่งนาและลำธาร – ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนหมู่บ้านเต็มไปด้วยสีเขียวของทุ่งนาและดอกไม้ ทำให้เห็นถึงความงดงามที่แตกต่างจากฤดูหนาว
กิจกรรมผ่อนคลายไปกับน้ำพุร้อน
1. บ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติชิราคาวาโกะ (Shirakawagōnoyu)
ตั้งอยู่ในทำเลสะดวก ห่างจากสถานีขนส่งชิราคาวาโกะโดยใช้เวลาเดินเพียง 1 นาที เป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อนและอบอุ่นร่างกายหลังจากเดินเล่นรอบๆ ชิราคาวาโกะ สามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามของแม่น้ำโชกาวะจากบ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้ง
พื้นที่ : โอกิมาจิ (Ogimachi)
ค่าบริการ : (ค่าอาบน้ำ) ผู้ใหญ่ 800 เยน / เด็ก 400 เยน (อายุ 4-12 ปี)
*แขกที่เข้าพักในชิราคาวาโกะสามารถใช้บริการได้ในราคา 700 เยน จากปกติ 800 เยน โดยคูปองส่วนลดของโรงแรม
เวลาทำการ : 7:00-21:00 น. (เข้าได้ถึง 20:00 น.) *มีซาวน่า
วันหยุดทำการ : ทุกวันพฤหัสบดี วันพุธที่ 2 และ 3 ของเดือน
2. โออิชิรากาวะออนเซ็น ชิรามิสุโนะยุ (Ōjirakawaonsen Shiramizunoyu)
ห่างจากหมู่บ้านมรดกโลกชิราคาวาโกะเพียง 15 นาทีโดยรถยนต์ ที่นี่คือแหล่งพักผ่อนที่มอบทั้งความงดงามแก่ผิวพรรณ และความสงบสุขแก่หัวใจ ด้วยบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติแบบ “源泉かけ流し” (Gensenkakenagashi) ที่ไหลตรงจากแหล่งกำเนิดโดยไม่ผ่านการหมุนเวียน ทำให้คุณสามารถสัมผัสถึงพลังของสายน้ำที่บริสุทธิ์แท้จริง บ่อน้ำร้อนแห่งนี้ขึ้นชื่อในด้านการบำรุงผิว ช่วยให้ผิวเนียนนุ่มและชุ่มชื้น พร้อมบรรยากาศเงียบสงบที่โอบล้อมด้วยขุนเขาและธรรมชาติอันสวยงาม คุณจะได้ปล่อยใจให้ผ่อนคลาย ใช้เวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่ ทั้งกับร่างกายและจิตใจ ที่นี่จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการหยุดพักจากการเดินทางชมหมู่บ้านชิราคาวาโกะ แล้วมอบรางวัลแก่ตัวเองด้วยการแช่ออนเซ็นอุ่น ๆ ท่ามกลางธรรมชาติ
พื้นที่ : ฮิราเสะ (Hirase) [ป้ายรถเมล์ที่ใกล้ที่สุด] เดินประมาณ 16 นาทีจากฮิราเสะออนเซ็น
ค่าบริการ : (ค่าอาบน้ำ) ผู้ใหญ่: 700 เยน / เด็ก (นักเรียนประถมและมัธยมต้น): 400 เยน / ทารกและเด็กเล็ก: ฟรี
ค่าบริการแบบกลุ่ม : (12 ท่านขึ้นไป) ผู้ใหญ่: 600 เยน / เด็ก (นักเรียนประถมและมัธยมต้น): 350 เยน
เวลาทำการ : ตลอดทั้งปี 11:00-20:00 น. (เข้ารอบสุดท้าย 19:30 น.)
วันหยุดทำการ : ทุกวันพุธ วันอังคารที่2 และ 4 ของทุกเดือน (เปิดทำการในวันหยุดนักขัตฤกษ์ ปิดทำการในวันถัดไป)
*อาจปิดทำการชั่วคราวเนื่องจากการปรับเวลาเปิด-ปิดบ่อน้ำพุร้อน
3. ห้องอาบน้ำกลางแจ้งโอชิราคาวะ (Oshirakawa)
ตั้งอยู่ห่างจาก Hirase Onsenkyo ประมาณ 13 กม. บนถนนจังหวัด Hakusan Park Line ในพื้นที่อุทยาน Oshirakawa ของอุทยานแห่งชาติ Hakusan ห้องอาบน้ำกลางแจ้งธรรมชาติแห่งนี้เต็มไปด้วยเสน่ห์แบบชนบท
การเดินทาง
จากเมืองนาโกย่า (Nagoya) สามารถนั่งรถไฟ JR สายทาคายามะ (Takayama Line) มาลงที่เมืองทาคายามะ แล้วต่อรถบัส Takayama Nohi Bus Center อีกประมาณ 50 นาที มาที่หมู่บ้าน
สามารถนั่งรถไฟจาก โอซาก้า (Osaka) หรือ นาโกย่า (Nagoya) มาลงที่ เมืองคานาซาวา (Kanazawa) แล้วต่อรถบัสประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที ก็จะถึงหมู่บ้าน
จากเมืองคานาซาวะ (Kanazawa) ก็สามารถนั่งรถบัสตรงมายังชิราคาวาโกะได้ ใช้เวลาประมาณ 1–2 ชั่วโมง ปัจจุบันมีเส้นทางคมนาคมสะดวกขึ้นกว่าสมัยก่อน แต่หมู่บ้านยังคงรักษาความดั้งเดิมอย่างเข้มแข็ง
จากสถานีโตเกียว ขึ้น “JR Shinkansen Kagayaki” ไปยังสถานี Toyama เปลี่ยนไปขึ้น “JR Limited Express Wide View Hida” แล้วไปยังสถานี Hida Furukawa
จากสถานีโตเกียว ขึ้น “JR Shinkansen Nozomi” ไปยังสถานี Nagoya เปลี่ยนไปขึ้น “JR Limited Express Wide View Hida” ไปยังสถานี Takayama เปลี่ยนไปขึ้น “JR Takayama Main Line” แล้วไปที่สถานี Hida Furukawa
การอนุรักษ์และความท้าทาย
แม้ว่าชิราคาวาโกะจะได้รับความนิยม แต่ก็เผชิญความท้าทายหลายประการ
แรงกดดันจากการท่องเที่ยว – นักท่องเที่ยวจำนวนมากอาจกระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดิม
การบำรุงรักษาบ้านกัสโช – หลังคาฟางต้องเปลี่ยนทุก ๆ 30–40 ปี ซึ่งต้องใช้แรงงานและค่าใช้จ่ายสูงมาก
การลดลงของประชากร – คนหนุ่มสาวย้ายไปอยู่เมืองใหญ่ ทำให้จำนวนครอบครัวในหมู่บ้านลดลงเรื่อย ๆ
ชุมชนและรัฐบาลท้องถิ่นจึงร่วมมือกันหาวิธีรักษาสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการท่องเที่ยว เช่น การจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาล และการสนับสนุนเงินทุนเพื่อบูรณะบ้านโบราณ รวมทั้งการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไม่เพียงช่วยให้ชิราคาวาโกะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก แต่ยังสร้างความตระหนักแก่ชุมชนและผู้มาเยือนในการรักษามรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญา และสิ่งแวดล้อม ชิราคาวาโกะจึงไม่ใช่แค่ “สถานที่” แต่เป็น “วิถีชีวิต” ที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง
หมู่บ้านชิราคาวาโกะคือสมบัติล้ำค่าของญี่ปุ่นและของโลกที่ผสมผสานความงดงามทางธรรมชาติ สถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ และวิถีชีวิตดั้งเดิมที่ยังคงสืบสานมาจนปัจจุบัน การได้มาเยือนชิราคาวาโกะจึงไม่ใช่เพียงการท่องเที่ยว แต่เป็นการเดินทางย้อนเวลากลับไปสัมผัสหัวใจของวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่แท้จริง และไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวที่มีทิวทัศน์งดงาม แต่ยังเป็นร่องรอยแห่งภูมิปัญญาและความพยายามของมนุษย์ในการปรับตัวเข้ากับธรรมชาติ สถาปัตยกรรมกัสโชสึคุริที่สง่างาม วิถีชีวิตที่เรียบง่าย และการอยู่ร่วมกันของชุมชน ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมญี่ปุ่น ทุกฤดูกาลที่เปลี่ยนผ่าน นำความงามในรูปแบบที่ต่างกันออกมาให้ผู้มาเยือนได้สัมผัส และเบื้องหลังภาพเหล่านั้นยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงคุณค่าของการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมให้คงอยู่สืบไป
ขอบคุณข้อมูลจาก
*______________________________________*
เดินทางญี่ปุ่นเมื่อไหร่แนะนำ Nihonsim และ Skyberry Pocket WiFi ใช้งานง่าย สะดวก ใช้อินเตอร์เน็ตได้ไม่จำกัดปริมาณเดินทางสบายใจตลอดทริป